ผู้เชี่ยวชาญคาดเศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัว 0.2% ในปี 2566

ผู้เชี่ยวชาญคาดเศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัว 0.2% ในปี 2566

สภาผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจของเยอรมนี (GCEE) เปิดเผยคาดการณ์ ว่า เศรษฐกิจของเยอรมนีจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้อย่างฉิวเฉียดในปี 2566 โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเติบโต 0.2%

GCEE ระบุว่า แนวโน้มระยะสั้นถือว่าดีขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากสถานการณ์การจัดหาพลังงานที่มีเสถียรภาพและราคาขายส่งลดลง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ GCEE คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีจะหดตัว 0.2% ในปีนี้

เศรษฐกิจ

นางโมนิกา ชนิทเซอร์ ประธาน GCEE ระบุในแถลงการณ์ว่า “การสูญเสียกำลังซื้อจากภาวะเงินเฟ้อ เงื่อนไขทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น และอุปสงค์ต่างประเทศที่ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ นั้น ขัดขวางไม่ให้เศรษฐกิจขยายตัวมากกว่านี้ทั้งในปีนี้และปีหน้า”

ในทางกลับกัน GCEE ก็ระบุว่า การที่จีนกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งหลังจากปรับการรับมือโควิด-19 ให้เหมาะสม อาจช่วยกระตุ้นให้ GDP ของเยอรมนีเติบโต เนื่องจากอุปสงค์ของจีนจะเพิ่มขึ้นและส่งผลดีต่อการค้ากับต่างประเทศ

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตัวเลขอย่างเป็นทางการแสดงให้เห็นว่า จีนยังคงเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของเยอรมนีเป็นปีที่ 7 ติดต่อกันในปี 2565

อย่างไรก็ดี ข้อมูลของ GCEE เผยว่า อัตราเงินเฟ้อยังคงสูงขึ้นอย่างมาก และมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างช้า ๆ โดยที่อัตราเงินเฟ้อประจำปี 2566 นี้ คาดว่าจะลดลงเล็กน้อยเหลือ 6.6%

ติดตามข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นี่ : อธิรัฐ’ เขย่าคมนาคม สั่งเร่งงบลงทุน – ตั้งรักษาการอธิบดีใหม่

‘อธิรัฐ’ เขย่าคมนาคม สั่งเร่งงบลงทุน – ตั้งรักษาการอธิบดีใหม่

คมนาคมป่วน ! หลัง ”อธิรัฐ” นั่งเก้าอี้รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จี้ประชุมทุกหน่วยสางงบลงทุนหวังผลักดันภายในรัฐบาลนี้

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ภายหลังนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม รับตำแหน่งรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีการเรียกประชุมหัวหน้าหน่วยในสังกัดกระทรวงคมนาคม ทันที พร้อมเร่งรัดติดตามงบประมาณ และกำชับให้ทุกหน่วยดำเนินการในโครงการลงทุนที่ล่าช้า หากงบประมาณส่วนใดที่สามารถผลักดันได้ตนจะเร่งรัดให้ทันที โดยจะเข้ามาดูแลทุกโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับกระทรวงคมนาคม จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่

ล่าสุดวันนี้ (10 มี.ค.) นายอธิรัฐ ได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงคมนาคม แต่งตั้งข้าราชการให้รักษาการแทน โดยในคำสั่งระบุว่า ตามที่กระทรวงคมนาคมได้มีคำสั่งที่ 991/2565 สั่ง ณ วันที่ 30 ก.ย.2565 แต่งตั้ง นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม (นักบริหารระดับสูง) ให้เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจ้าท่า (นักบริหารระดับสูง) อีกตำแหน่งหนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2565 จนกว่าจะมีผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง หรือมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง นั้น

ข่าวเศรษฐกิจ

เพื่อให้การบริหารราชการภายในกรมเจ้าท่าเป็นไปด้วยความเหมาะสม เรียบร้อย และมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 42 มาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ส.ค.2562 ในหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0508/27136 ลงวันที่ 23 ส.ค.2562 จึงให้ยกเลิกคำสั่งกระทรวงคมนาคมที่ 991/2565 สั่ง ณ วันที่ 30 ก.ย.2565

และแต่งตั้ง นายกริชเพชร ชัยช่วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) ตำแหน่งเลขที่ 13 สำนักงานปลัดกระทรวง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจ้าท่า (นักบริหารระดับสูง) โดยให้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่รักษาราชการแทนอีกตำแหน่งหนึ่ง ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง หรือมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การออกคำสั่งดังกล่าวมีผลยกเลิกเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่เคยออกคำสั่งเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2565 แต่งตั้ง นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ให้เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจ้าท่า ซึ่งนายสรพงศ์ ได้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเจ้าท่าตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2565 จนถึงปัจจุบัน แนะนำข่าวเพิ่มเติม>>> มาตรการซีโร่โควิดฉุดส่งออกไทยไปจีนปี 65 วูบ 2 พันล้านดอลลาร์

“กิฟฟารีน” ยกเครื่องใหญ่ทรานฟอร์มธุรกิจ จัดทัพปั้นทีมบริหารรุ่นใหม่ – ตั้ง “พงศ์พสุ อุณาพรหม” ขึ้นแท่น CGO ช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตในยุคดิจิทัล

“กิฟฟารีน” ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ปั้นทีมบริหารรุ่นใหม่ next generation นำโดย “พงศ์พสุ อุณาพรหม” ขึ้นแท่น CGO

กิฟฟารีน

ช่วยบริหารธุรกิจให้เติบโตแข็งแกร่งในยุคดิจิทัล หลัง “พญ.นลินี ไพบูลย์” ต้องการทรานฟอร์มองค์กร-ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์รับยุคดิจิทัลเดือด พร้อมวางรากฐานกิฟฟารีนครองแชมป์ MLM สัญชาติไทยอันดับ 1 ต่อเนื่อง

พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ประกาศทรานฟอร์มองค์กร และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์รับยุคดิจิทัล พร้อมวางรากฐานครองแชมป์ MLM สัญชาติไทยอันดับ 1 ต่อเนื่อง หลังธุรกิจเติบโตมาตลอด 27 ปี มียอดขายรวมกว่า 100,000 ล้านบาท มีจำนวนสมาชิกรวม 8.5 ล้านรหัส และมีจำนวนนักธุรกิจกิฟฟารีน 820,000 รหัส โดยแต่งตั้งทีมบริหารรุ่นใหม่ next generation เข้ามาช่วยงาน นำทีมโดยนายพงศ์พสุ อุณาพรหม ขึ้นตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่เพื่อการเติบโตองค์กร หรือ Chief Growth Officer (CGO)

นายพงศ์พสุ อุณาพรหม รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่เพื่อการเติบโตองค์กร หรือ Chief Growth Officer (CGO) บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า การปรับโครงสร้างการบริหารขององค์กรครั้งใหญ่รับปี 2566 ถือเป็นการจัดทัพใหม่ ด้วยวิสัยทัศน์ของ พญ.นลินี ไพบูลย์ ในการนำพากิฟฟารีนก้าวเข้าสู่การทรานฟอร์มองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ และให้โอกาสตนได้ขึ้นมาบริหารงานในตำแหน่งใหม่เป็นรองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่เพื่อการเติบโตองค์กร หรือ Chief Growth Officer (CGO) จากเดิมที่นั่งบริหารในตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่สายงานการตลาด โดยมีหน้าที่กำหนดนโยบาย วางแผนติดตามและประเมินผล เพื่อให้ฝ่ายต่างๆ ดำเนินการได้ตามเป้าหมาย และสร้างความเติบโตให้องค์กรอย่างยั่งยืนทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

ทั้งนี้ ตำแหน่ง CGO หรือ Chief Growth Officer เป็นตำแหน่งใหม่ที่ถูกตั้งขึ้นมา เพื่อกุมบังเหียนธุรกิจในยุค Transformation เพื่อเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดใหญ่อย่าง FMCG, Healthcare และ Retail ดูแลหน่วยงานหลักที่อยู่ภายใต้การรับผิดชอบทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งสายงานการตลาด พาณิชย์ ฝ่ายขาย ลูกค้าสัมพันธ์ ฝ่ายพัฒนาองค์กร กลุ่มธุรกิจใหม่ๆ เป้าหมายจากนี้ทีมบริหารรุ่นใหม่ next generation จะช่วยกันต่อยอดและสยายปีกธุรกิจกิฟฟารีน พร้อม Transform องค์กรให้แข็งแกร่งและเติบโตอย่างมั่นคงในโลกยุคดิจิทัล โดยที่ผ่านมากิฟฟารีนเป็นธุรกิจขายตรงแบรนด์ไทยแบรนด์เดียวที่มียอดขายติดอันดับที่ 47 ของการจัดอันดับ Top 100 ขายตรงโลก 2022 (จากยอดขายปี 2021) และได้รับการจัดอันดับมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการบริหารงานของพญ.นลินี ไพบูลย์ นักธุรกิจหญิงแถวหน้าของเมืองไทย ในฐานะผู้ที่ทำให้ธุรกิจกิฟฟารีนเติบโตอย่างมั่นคงมาจนถึงปัจจุบัน และขณะนี้ก็ได้ถ่ายทอดกลยุทธ์ทางธุรกิจให้กับทีมผู้บริหาร next generation เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต

“ผมจะใช้ประสบการณ์และความสามารถในการบริหารงานที่ทำมาตลอด 26 ปี จากที่เคยดูแลรับผิดชอบงานที่กิฟฟารีนในหลากหลายหน้าที่ เริ่มตั้งแต่การดูแลองค์กรสมาชิก พัฒนาการฝึกอบรม บริหารงานการสื่อสารองค์กร และดูแลงานด้านสายงานการตลาด มาช่วยบริหารงานองค์กรให้เติบโตแข็งแกร่งอย่างมั่นคง แม้ปัจจุบันในโลกยุคดิจิทัลการแข่งขันในตลาดจะรุนแรงทุกรูปแบบก็ตาม ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายเงิน และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าในช่องทางขายใหม่ๆ เพิ่มขึ้น แต่ผมและทีมก็มีความพร้อมในเชิงกลยุทธ์และนโยบาย ในการการผลักดันให้กิฟฟารีนเติบโตอย่างเต็มที่ และสามารถทรานฟอร์มธุรกิจได้สำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบให้เป็นธุรกิจ MLM ที่ทันยุคทันสมัย” นายพงศ์พสุ กล่าวทิ้งท้าย

อัพเดทข่าว เพิ่มเติม : มาตรการซีโร่โควิดฉุดส่งออกไทยไปจีนปี 65 วูบ 2 พันล้านดอลลาร์

มาตรการซีโร่โควิดฉุดส่งออกไทยไปจีนปี 65 วูบ 2 พันล้านดอลลาร์

ส่งออกไทยไปจีนติดลบต่อเนื่อง จากมาตรการซีโร่โควิด คาดทั้งปี 65 มูลค่าส่งออกหายไป 2 พันล้านดอลลาร์ คาดจีนเปิดประเทศหนุนส่งออกไทยกลับมาเป็นบวกไตรมาส 2

ตลาดส่งออกไปจีนที่ติดลบเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน เม.ย.โดยติดลบ 7.2%  ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 17  เดือน และติดลบต่อเนื่องเรื่อยมา ล่าสุดเดือน พ.ย. ตลาดจีน ติดลบ 9.9% ต่อเนื่อง 6 เดือน สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยางพารา และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง และข้าว เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2565 ติดลบ  6.5 %

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า  การส่งออกไปจีนที่ติดลบก็เนื่องมาจากมาตราซีโร่โควิดของจีนส่งผลให้อุตสาหกรรมต่างๆหยุดชะงัก มีการลดกำลังการผลิต  มีการจับจ่ายใช้สอยน้อย ความต้องการสินค้าก็น้อยลงตามไปด้วย ส่งผลให้การบริโภคของจีนชะลอตัวไปด้วยทำให้การส่งออกของไทยไปจีนน้อยลง ซึ่งสินค้าที่ได้รับผลกระทบหนักคือสินค้ากลุ่มเม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ยางพารา  โดย 11 เดือนแรกเม็ดพลาสติกติดลบ 5 % เคมีภัณฑ์ติดลบ 26 % และยางพาราติดลบ 16 %  ถือเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่สำคัญมีสัดส่วนการส่งออกรวมกัน 20 % ของการส่งออกไปจีน

ข่าวเศรษฐกิจวันนี้

นอกจากนี้ผัก ผลไม้ ยังส่งออกไปจีนลดลง เนื่องจากมาตรการซีโร่โควิด ควบคุมการตรวจการนำเข้า มาตรการด้านสุขอนามัย  ส่งผลให้ 11 เดือนการส่งออกไปจีนติดลบ  6.5 %

อย่างไรก็ตามจีนประกาศเปิดประเทศ 8 ม.ค.66  ก็มองว่า จะเป็นแรงส่งการส่งออกของไทยให้ดีขึ้น เพราะจีนเป็นตลาดสำคัญของไทยมีสัดส่วนการส่งออก 12-13 % ของการส่งออกไทยไปทั่วโลก หากปีหน้าเศรษฐกิจจีนเริ่มมาขับเคลื่อนใหม่ก็จะเป็นโอกาสการส่งออกไทยไปจีนเพิ่มขึ้น

“ปีนี้คาดว่า การส่งออกไปจีนจะหายไป 2 พันล้านดอลลาร์  ซึ่งปีนี้น่าจะได้ประมาณ 35,000 ล้านดอลลาร์  ต่ำกว่าปี  64 ที่ไทยส่งออกไปจีนมูลค่า  37,2000 ล้านดอลลาร์”

นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า  การส่งออกไทยไปยังตลาดจีนน่าจะติดลบต่อเนื่องตั้งแต่ธ.ค.ไปยังเดือนม.ค.และก.พ.ปีหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการซีโร่โควิดของจีน  ส่งผลให้ภาคการผลิตของจีนถูกล็อคดาวน์ มีการปิดโรงงาน ทำให้ไม่มีคำสั่งซื้อสินค้าจากประเทศอื่นรวมทั้งประเทศไทย  การส่งสินค้าไปยังประเทศจีนมีความเข้มงวดมากทำให้การส่งสินค้าไปจีนลดน้อยลง

อย่างไรก็ตามจีนประกาศเปิดประเทศในวันที่  8 ม.ค.66 ก็น่าจะเป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ภาคการท่องเที่ยวก็กลับมา ซึ่งเมื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวความต้องการสินค้าก็เพิ่มมากขึ้น ก็จะเป็นแรงหนุนให้การส่งออกไทยดีขึ้น และจะช่วยเศรษฐกิจโลกปีหน้าดีขึ้นจากการที่จีนเปิดประเทศ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่จะกลับมาอีกครั้ง จากการที่จีนเปิดประเทศ รับนักท่องเที่ยว และเปิดให้คนจีนเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศได้ เนื่องจากขณะนี้คนจีนติดเชื้อโควิดจำนวนมาก แต่ทางการจีนยกเลิกการรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อ ซึ่งสาธารณสุขสหรัฐ รายงานว่า การติดเชื้อโควิดของจีนจะเพิ่มขึ้นใน 3  ช่วง คือ ปลายธ.ค. ช่วง 2 เดือนม.ค.-ตรุษจีน และช่วง 3 หลังจากตรุษจีนที่คนจีนกลับมาทำงาน โดยคาดการณ์ว่า น่าจะมีผู้ติดเชื้อหลายล้านคน

“การเปิดประเทศของจีนอาจเป็นดาบ 2 คมคือ การทำให้เศรษฐกิจโลกดีขึ้น แต่อีกทางก็ทำให้มีคนติดเชื้อโควิด มากขึ้นเช่นกัน โดยไทยก็จะได้รับอานิสงค์จากการเปิดประเทศจีนทั้งจากภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก แต่สิ่งที่ผู้ส่งต้องทำคือ กำกับเรื่องคุณภาพสินค้า สุขอนามัย ซึ่งจีนก็ยังคงเข้มงวดในเรื่องนี้”นายอัทธ์ กล่าว

ขณะที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มองว่า การส่งออกไปจีนลดลง น่าจะมาจากปัจจัยในเรื่องของเศรษฐกิจโลกถดถอย กระทบต่อซัพพลายเชนในจีนต่อเนื่องมายังไทย นโยบายซีโร่โควิดของจีนที่เข้มข้นให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้การบริโภคของจีนชะลอตัวปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์หดตัวอย่างรุนแรงส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจของจีนยิ่งหดตัวรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประกอบกับสถานการณ์รัสเซียและยูเครนยังคงยืดเยื้อส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจโลก การย้ายฐานการลงทุนจากจีนออกไปประเทศอื่นกระทบต่อภาคการผลิตของจีน ซึ่งน่าจะลดลงต่อ แม้ว่า จีนประกาศเปิดประเทศในวันที่ 8 ม.ค. เปิดให้เดินทางเข้า-ออก นอกประเทศได้ เกิดการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจก็ตามแต่คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะกลับมาเป็นปกติ

ข่าวแนะนำ : ประชาชน แห่ลงทะเบียนบัตรคนจน แตะ 10.4 ล้านคน

ประชาชน แห่ลงทะเบียนบัตรคนจน แตะ 10.4 ล้านคน

ประชาชน แห่ลงทะเบียนบัตรคนจน แตะ 10.4 ล้านคน

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการเปิดรับลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (โครงการฯ) ปี 2565 วันจันทร์ที่ 12 กันยายน 2565 ณ เวลา 15.00 น. มีประชาชนลงทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 10,416,889 ราย โดยเป็นการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ 7,366,170 ราย และลงทะเบียนผ่านหน่วยงานรับลงทะเบียน 3,050,719 ราย

ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ 2 ช่องทาง คือ 1) ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th ได้ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ถึง 23.00 น.ของทุกวัน หรือ 2) ลงทะเบียนผ่านหน่วยงานรับลงทะเบียนทั้ง 7 หน่วยงาน ได้แก่ สาขาของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) สำนักงานคลังจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ สังกัดกรมบัญชีกลาง ที่ว่าการอำเภอทั้ง 878 อำเภอทั่วประเทศ ภายใต้กระทรวงมหาดไทย

สำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร ทั้ง 50 เขต และศาลาว่าการเมืองพัทยา เมืองพัทยา ตามวันและเวลาทำการของแต่ละหน่วยงาน ได้ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2565 จนถึงวันที่ 19 ตุลาคม 2565 สำหรับการลงทะเบียนในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถลงทะเบียนได้ที่สาขาของธนาคารข้างต้นที่เปิดให้บริการในห้างสรรพสินค้า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่ไม่สามารถลงทะเบียนได้ในวันธรรมดา

ออกแบบ.jpg19

จากการเปิดรับลงทะเบียนที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในเรื่องการลงทะเบียน โดยขอชี้แจงประเด็นที่สำคัญ ดังนี้

1.ประชาชนที่สนใจและมีคุณสมบัติตามที่โครงการฯกำหนด สามารถลงทะเบียนได้ทุกคน ซึ่งหากเป็นประชาชนที่มีครอบครัวแล้ว สามารถลงทะเบียนได้ทั้งสามีและภรรยา ซึ่งหากทั้งสามีและภรรยาผ่านการตรวจสอบเกณฑ์คุณสมบัติ ก็ย่อมมีสิทธิในการรับสวัสดิการของรัฐตามโครงการฯ “ไม่ใช่หนึ่งครอบครัวหนึ่งสิทธิ”
2.ผู้ลงทะเบียนสามารถเลือกช่องทางการลงทะเบียนได้ตามที่ผู้ลงทะเบียนสะดวก ได้แก่ 1) ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ หรือ 2) ลงทะเบียนผ่านหน่วยงานรับลงทะเบียน โดยกรณีที่ผู้ลงทะเบียนเป็นคนโสดหรือไม่มีครอบครัวสามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์โดยไม่ต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม สำหรับกรณีผู้ลงทะเบียนมีครอบครัวสามารถไปที่หน่วยงานรับลงทะเบียนพร้อมทั้งครอบครัว โดยนำบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงของผู้ลงทะเบียน คู่สมรสและบุตร แสดงตัวที่หน่วยงานรับลงทะเบียนสำหรับกรณีที่คู่สมรสและบุตรไม่ได้เดินทางมาแสดงตัวที่หน่วยงานรับลงทะเบียน ผู้ลงทะเบียนสามารถนำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของคู่สมรสและบุตรพร้อมลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้องยื่นที่หน่วยงานรับลงทะเบียนได้เช่นเดียวกัน

3.ผู้ลงทะเบียนที่เป็นผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ด้วยตนเอง สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นมาลงทะเบียนแทนได้ ทั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดหนังสือมอบอำนาจได้จากเว็บไซต์ของโครงการฯ หรือติดต่อขอรับได้ที่หน่วยงานรับลงทะเบียนทุกหน่วย การลงทะเบียนในครั้งนี้ได้จัดให้มีผู้ช่วยอำนวยความสะดวกในการรับลงทะเบียนตามจุดรับลงทะเบียน โดยเป็นผู้ที่อยู่อาศัย ผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ หรือพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อความคุ้นเคยกับผู้ลงทะเบียนและสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ กระทรวงการคลังมีความร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในการขอความอนุเคราะห์ให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกแก่กลุ่มเปราะบางในพื้นที่ในการลงทะเบียน สำหรับเอกสารที่ต้องยื่นที่หน่วยงานรับลงทะเบียนในกรณีดังกล่าว ประกอบด้วย

(1) แบบฟอร์มการลงทะเบียนที่ลงนามโดยผู้ลงทะเบียน (ลงนามในส่วนที่ 7 และ 8)
(2) หนังสือมอบอำนาจ
(3) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ลงทะเบียน (ผู้มอบอำนาจ) พร้อมลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง
(4) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ พร้อมลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง
(5) สำเนาบัตรประจำตัวคนพิการ (ถ้ามี) หรือใบรับรองแพทย์ (ถ้ามี)

4.การสมัครลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ไม่มีค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียน โดยประชาชนที่สนใจและมีคุณสมบัติตามที่โครงการฯกำหนด สามารถลงทะเบียนได้ทุกคน โดยขอให้ผู้ลงทะเบียนตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องก่อนยืนยันการลงทะเบียน และสำหรับผู้ลงทะเบียนที่ยื่นเอกสาร ณ หน่วยงานรับลงทะเบียน ขอให้เก็บรักษาส่วนที่ 11 ของแบบฟอร์มลงทะเบียนเป็นหลักฐานในการยืนยันการลงทะเบียน อย่าให้สูญหาย เพื่อประโยชน์ต่อผู้ลงทะเบียนต่อไป

สำหรับผู้ลงทะเบียนทุกคนที่ลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถ “ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน” ด้วยตนเองผ่านทางเว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th หรือตรวจสอบผ่านหน่วยงานรับลงทะเบียนทุกหน่วยงานได้ทุกวันศุกร์ของสัปดาห์ถัดไป เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2565